1. Airvida M1 ใช้งานได้หลากหลายรูปเเบบ ทั้งสวมใส่แบบสร้อยคอ, ใช้เหน็บบริเวณปกเสื้อ หรือวางเป็นเครื่องฟอกอากาศเเบบตั้งโต๊ะ มีสีดำและสีขาว ราคา 7,990.-
2. Airvida L1 ดีไซน์สวยงามคล้ายเครื่องประดับ ใส่คล้องจากด้านหลังที่คอ มีสีดำ ขาว ชมพู ราคา 7,990.-
3. Airvida C1 (สำหรับเด็ก) ดีไซน์น่ารัก สวมใส่แบบสร้อยคอ มีสีเหลือง และเทา ราคา 6,990.-
*ในสภาวะแวดล้อมเปิดโล่ง แนะนำให้ใช้ควบคู่กับหน้ากาก อนามัย เพื่อการป้องกันฝุ่น PM2.5 ที่ดียิ่งขึ้น
สามารถดูคลิปการทดสอบการใช้งานในสถานการณ์จริงได้ ที่คลิปด้านล่างนี้นะคะ
😊 ซื้อแล้ว.. อย่าลืม ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์การรับประกันคุณภาพสินค้า 1ปี ด้วยนะคะ ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก เพียงทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ค่า 🥰
หมายเหตุ หากไม่ได้ซื้อเครื่องที่นำเข้าอย่างถูกต้องโดย บริษัทเเอ๊ดวานซ์ซิ่ง ไลฟ์ จำกัด บริษัท ฯ ขอสงวนสิทธิไม่รับการบริการในทุกกรณี
ขั้นตอนที่ 1️ เพียงสแกน QR Code จากใบรับประกันที่อยู่ภายในกล่อง
ขั้นตอนที่ 2️ เข้าสู่หน้าเว็บไซต์ airvida โดยรายละเอียด ‘Serial number’ เเละ ‘Verification code’ จะขึ้นมาเองอัตโนมัติ หลังจากนั้นให้กรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ซื้อ เเละเปลี่ยนสถานที่สั่งซื้อเป็น ‘ประเทศไทย’ 🇹🇭
⚠️ หากไม่สามารถลงทะเบียนจากการสแกน QR Code ได้ ให้ทำการลงทะเบียนผ่านหน้าเว็บไซต์ ได้ที่ลิ้งค์นี้ 👉 airvida.co เลย
หลังจากนั้นให้ลงรายละเอียด ‘Serial number’ เเละ ‘Verification code’ รวมทั้งกรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ซื้อ เเละเปลี่ยนสถานที่สั่งซื้อเป็น ‘ประเทศไทย’ 🇹🇭
“โอโซนจาก ible ปลอดภัย ไร้กังวล” ible เครื่องฟอกอากาศเเบบพกพาชนิดไอออนปล่อยประจุลบกว่า 2 ล้านประจุ เเต่ปล่อยโอโซนต่ำกว่าเพดานที่องค์การอนามัยโลก รวมถึงสหภาพยุโรปกำหนดไว้ถึง 8 เท่า เเละต่ำกว่าโอโซนที่มีอยู่ในอากาศของกรุงเทพถึง 2.5 เท่า !!!
แต่ปริมาณโอโซนมากเท่าไรถึงเริ่มส่งผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์ ?
หากรับโอโซนมากถึง 0.25 ppm ขึ้นไปจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย เเต่องค์กรอนามัยโลก หรือ WHO ได้กำหนดไว้ว่าปริมาณโอโซนในอากาศที่จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย หรือ อยู่ในระดับที่ปลอดภัยนั้น ไม่ควรเกิน 0.064 ppm เเต่ปริมาณโอโซนที่เกิดขึ้นจาก ible เครื่องฟอกอากาศเเบบพกพาชนิดไอออนนั้นไม่เกิน 0.008 ppm ซึ่งต่ำกว่าประมาณ 8 เท่า
แล้วอากาศในชีวิตประจำวันที่เราอยู่นั้น มีโอโซนอยู่หรือไม่ ?
คงต้องตอบว่า มีอย่างแน่นอน จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ ในปี 2561 สามารถวัดค่าโอโซนจากอากาศในกรุงเทพ เฉลี่ยต่อทั้งปี ได้ถึง 0.018 ppm ซึ่งยังคงจัดอยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่องค์กรอนามัยโลกกำหนดไว้
เเล้ว ible ผลิตโอโซนได้อย่างไร ?
ด้วยเทคโนโลยี Negative Ion ที่ปล่อยประจุลบกว่า 2 ล้านประจุทุก ๆ 0.6 วินาที เพื่อเข้าจับอนุภาคต่าง ๆ ในอากาศให้มีน้ำหนักมากขึ้น ก่อนจะตกลงสู่พื้น ทำให้ตัวประจุลบบางส่วนเข้าไปจับกับออกซิเจน ( O2 ) จึงทำให้เกิด ‘โอโซน ( O3 )’ ขึ้น เเต่ในปริมาณที่ไม่เกิน 0.008 ppm ซึ่งต่ำกว่าเพดานของสหภาพยุโรป รวมทั้งองค์กรอนามัยโลกเกือบ 8 เท่า เเละต่ำกว่าโอโซนที่มีอยู่ในกรุงเทพถึง 2.5 เท่า
คุณจึงมั่นใจได้ว่า ‘โอโซน’ ที่เกิดจาก ible เครื่องฟอกอากาศเเบบพกพาชนิดไอออน อยู่ในระดับที่ไม่ส่งผลผลกระทบต่อร่างกายของมนุษย์
#CleanAirEverywhere #iblethailand
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
https://bit.ly/2pyVfnL
https://bit.ly/2ND8jCT
https://bit.ly/2o2mZ3r
PM2.5 ในไทย วัดค่าความหนาเเน่นเฉลี่ยได้มากถึง 26.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยตามที่องค์การอนามัยโลกประกาศไว้ (ไม่เกิน10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) ถึง2-3เท่า เป็นอันดับ3 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เเละมีถึง 7จังหวัด ที่ติดอันดับ 10เมืองที่มีมลพิษสูงที่สุดในภูมิภาค
.
ค่าเฉลี่ย PM2.5 สูงขนาดนี้อันตรายอย่างไร?
การได้รับ PM2.5 ในความหนาเเน่นนี้ หากได้รับเฉลี่ยติดต่อกัน 24ชั่วโมง จะมีอันตรายต่อสุขภาพเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ประมาณ 1-2 มวนต่อวัน!
.
PM2.5 ในไทยมีสาเหตุมาจากอะไร?
โดยทั่วไปเเล้ว แหล่งกำเนิดมลพิษในประเทศไทยมาจากการเผาในที่โล่ง การปลดปล่อยจากยานพาหนะ การขนส่ง เเละโรงงานอุตสาหกรรม
.
มีจังหวัดใดบ้าง เแต่ละที่มีค่ามลพิษสูงเท่าใด?
จากรายงานของ IQAir Airvisual เมืองที่มีมลพิษสูงที่สุดในภูมิภาค คือ เมืองจาการ์ตา อินโดนีเซียที่มีค่าเฉลี่ยมลพิษสูงถึง 45.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
ตามมาด้วย อันดับที่ 2 เมืองฮานอย เวียดนาม 40.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
อันดับที่ 3 สมุทรสาคร 39.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
อันดับที่ 4 นครราชสีมา 37.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
อันดับที่ 5 หนองคาย 37.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
อันดับที่ 6 สระบุรี 32.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
อันดับที่ 7 เมย์กาวายัน ฟิลิปปินส์ 32.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
อันดับที่ 8 สมุทรปราการ 32.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
อันดับที่ 9 ราชบุรี 32.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
อันดับที่ 10 เเม่สอด 32.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
.
แล้วทำไมถึงไม่มีกรุงเทพฯ?
เนื่องจากเป็นค่าเฉลี่ยที่วัดตลอดปี เเม้บางช่วงปริมาณฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ จะมีความหนาเเน่นมากถึง 101 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ( ริมถนนพระรามที่3 – เจริญกรุง 22 ม.ค. 62,กรมควบคุมมลพิษ ) เเต่ก็ไม่ได้มีความหนาเเน่นตลอดทั้งปี เพราะเหตุนี้ทำให้เมื่อเฉลี่ยเเล้วจึงไม่ติดอันดับ
.
เเต่ที่น่าตกใจกว่า คือต่างจังหวัด เพราะมีค่ามลพิษตลอดปีสูงกว่ากรุงเทพฯเเบบค้านต่อความรู้สึกเรา เพราะเรามักจะคิดว่ากรุงเทพฯน่าจะมีมลพิษเฉลี่ยต่อปีสูงที่สุด
.
เพราะมลพิษมีอยู่ทุกที่ เเม้ในที่ที่เราคาดไม่ถึง ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำ คือ การเตรียมตัวเเละหาทางลดความเสี่ยงที่เราจะได้รับจาก PM2.5 เพราะไม่เช่นนั้นเเล้ว เราก็คงจะได้เป็นโรคในระบบทางเดินหายใจ ทั้งๆที่ไม่ได้สูบบุหรี่ เเละไม่ได้อาศัยอยู่ในตัวเมืองเลยก็ตาม💨🤦♂️🙅♀️
.
อ้างอิง: https://bit.ly/2Knf7AZ
https://bit.ly/2urTSGw
องค์กรอนามัยโลก ประเมินว่าประชากรโลก 90% กำลังหายใจเอามลพิษร้ายเเรงอย่าง PM2.5 PM10 ก๊าซพิษจากรถยนต์ สารก่อโลกภูมิเเพ้ เเละเชื้อเเบคทีเรีย ไวรัสต่างๆ เข้าไปในร่างกาย
หนึ่งในมลพิษที่เป็นประเด็นมากที่สุดในช่วงนี้ ก็คงต้องเป็น PM2.5 เพราะมันมีขนาดเล็กมากๆ เล็กกว่าเส้นผมถึง 30เท่า ด้วยขนาดที่เล็กขนาดนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จึงสามารถเข้าสู่ปอดเเละกระเเสเลือดได้ ซึ่งเพิ่มโอกาสในการเป็นโรคในระบบทางเดินหายใจ
นอกจากนั้น PM2.5 ยังซึมผ่านเข้าไปยังสมองได้โดยตรง เเละก็ให้เกิดกระบวนการอักเสบในสมอง ทำให้เซลล์สมองได้รับการบาดเจ็บ เกิดภาวะสมองเสื่อมเร็วกว่าปกติ รวมทั้งยังพบว่าทำให้เกิดการก่อตัวของก้อนโปรตีนที่ผิดปกติในสมอง ทำให้มีลักษณะคล้ายกับคนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์หรือโรคพาร์กินสัน เเละยังทำให้สมองส่วนเนื้อขาว มีการฝ่อเหี่ยวมากกว่าคนปกติอีกด้วย
PM2.5 ไม่ใช่มลพิษเพียงตัวเดียว ที่ทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ เเต่ยังมี PM10 ที่ถึงเเม้จะไม่สามารถเข้าไปในระบบภายในได้ เเต่ก็สามารถก่อให้เกิดโรคหอบหืดได้
ก๊าซพิษจากรถยนต์ อย่าง คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO), ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ไนโตรเจนไดออกไซด์(NO2) ซึ่งส่งผลให้เกิดการระคายเคืองตาเเละระบบทางเดินหายใจ ร่างกายขาดออกซิเจน เหนื่อยง่าย หายใจอึดอัด ถ้าได้รับในปริมาณมากอาจถึงทำให้เสียชีวิตได้
อีกทั้งยังมีสารก่อภูมิเเพ้ต่างๆ ที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคภูมิเเพ้ เเละเชื้อเเบคทีเรีย ไวรัสต่างๆ ที่เป็นพาหะที่ก่อให้เกิดโรคร้ายเเรงได้
ในวันนี้ เราคงได้เห็นกันเเล้วว่าฝุ่น PM 2.5 รวมทั้งมลภาวะในอากาศชนิดอื่น ๆ มีผลกระทบต่อร่างกายในหลายระบบมากๆ
เราคงต้องตะหนักเเละหาทางหลีกเลี่ยงหรือป้องกันมลพิษให้ได้ ไม่เช่นนั้นเเล้ว สักวันนึง โรคร้ายจะต้องมาเยือนเราอย่างเเน่นอน
#CleanAirEverywhere
#iblethailand
อ้างอิง : https://bit.ly/2Knf7AZ
https://bit.ly/2Lqxm7S